เชื่อไม่ได้
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม–ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “วิธีปฏิบัติตัวเมื่อไม่มีสถานที่สงบ”
๑. ผมอยู่ศูนย์บำบัดยาเสพติดแห่งหนึ่ง ทั้งวันจะมีเสียงคนพูดคุย เสียงเพลงบ้าง คือผมอยากภาวนา บางทีก็อ่านหนังสือธรรมะ บางทีก็นึกถึงพุทโธ บางทีเกิดไม่พอใจบางคนก็อดทน ถ้าเป็นข้างนอกผมคงมวยวัดไปแล้ว ก็นึกถึงเวลาถูกลงโทษ คิดว่ามันเป็นกรรมของตัวเองบ้าง พยายามใช้ธรรมะที่เคยได้ยินได้ฟัง แต่กว่าจะหายโมโหก็ใช้เวลาพอสมควร ผมอยากทราบวิธีอบรมด้วยปัญญาอบรมสมาธิว่าทำอย่างไร
๒. ผมอยากทราบว่า ช่วงเวลาที่มีพระพุทธศาสนาจะสามารถมีพระจักรพรรดิได้หรือเปล่าครับ กราบขอบพระคุณอย่างสูง
ตอบ : นี่คำถามเนาะ คำถามจากผู้ที่ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ เขาใฝ่ดี คนใฝ่ดีก็อยากแสวงหาความดี แล้วเราใฝ่ดี เหมือนเราชาวพุทธ ทุกคนจะพูดทุกวันเลย“ทำดีไม่ได้ดี ทำดีไม่ได้ดี” ทุกคนจะพูดอย่างนี้ ทำดีแล้วไม่ได้ดี แต่สำหรับเรานะ เราก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกัน
เราก็เคยคิดว่า เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราจะเจริญรุ่งเรือง เราจะเจริญงอกงาม เราจะดีงามไปทั้งสิ้น ก็คิดแบบนี้เหมือนกัน แล้วพอคิดแบบนี้ มีศรัทธาในพระพุทธศาสนามาบวชเป็นพระก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
แล้วเวลาฝึกหัดเป็นพระใหม่ พระนวกะ มาจากโลก ก็เหมือนมาจากบุคคลต่างดาวมาสู่โลกนี้ เป็นฆราวาสมาบวชเป็นพระก็เหมือนบุคคลภายนอกเข้าไปบวชเป็นพระ ก็คิดอย่างนี้ คิดว่า พระเป็นผู้ที่มีศีลมีธรรม พระเป็นที่น่าเคารพบูชา พอบวชเข้าไปแล้ว เพราะซื่อใสอย่างนี้ไงถึงโดนเขาหลอก
ที่ตั้งใจตอบปัญหาแล้วทำพยายามฝึกหัดปฏิบัติอยู่นี่ก็เพราะว่า ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่โดนหลอกโดนลวง โดนเขาพาไปล้มลุกคลุกคลาน พาไปวิบากกรรมเยอะมาก
แต่บุญ เวลาใครมาหานะ เวลาเราพูดนะ บอก เราภูมิใจตัวเราเองมากว่าเราได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วมาบวชเป็นพระ แล้วได้บวชมาแล้วได้เจอครูบาอาจารย์ที่ดีงาม ครูบาอาจารย์ที่ดีงามตั้งแต่ไปเจอหลวงปู่จวน หลวงตาพระมหาบัว หลวงปู่เจี๊ยะเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น
ถ้าลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ถ้าหลวงปู่มั่นไม่เป็นพระอรหันต์ หลวงปู่มั่นไม่เป็นครูบาอาจารย์ที่ดีงาม จะอบรมบ่มเพาะลูกศิษย์ลูกหาของท่านเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้อย่างไร เวลาอบรมเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา อบรมด้วยความทุกข์ความยากไง
เหมือนพ่อเหมือนแม่ปรารถนาให้ลูกเป็นคนดีทุกคน แล้วฝึกหัดดูแลลูก ลูกมันจะประท้วงทุกทีเลยว่า พ่อแม่ไม่รัก พ่อแม่ไม่รัก พ่อแม่ไม่รัก
นี่ก็เหมือนกัน เราถึงบอก เราภูมิใจนะที่เราได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วได้บวชพระ บวชพระแล้วได้พบได้เจอครูบาอาจารย์ที่ดีงาม
แต่กว่าที่จะได้พบได้เจอครูบาอาจารย์ที่ดีงาม เพราะเรามันเป็นคนโง่ เราโง่ไง เราเห็นพระห่มผ้าสีเข้มๆ เราเห็นพระไม่ใส่รองเท้า เราเห็นพระ โอ้โฮ! ถือเคร่ง เราก็เชื่อว่าเป็นพระที่ดี ไปธุดงค์กับเขานะ เขาพาไปหลอกประชาชน โอ้โฮ! เกือบตาย เพราะไปเห็นพฤติกรรมไง
พออยู่ด้วยกัน พอไปด้วยกัน ไปธุดงค์ โอ๋ย! ตาย กูมากับเปรตนี่หว่า แล้วพอมากับเปรต กว่าจะแยกตัวออกมาได้นะ โอ้โฮ! ลำบากนะ เพราะว่าอะไร เพราะคบคนแล้วเขาพาไปทำเหตุต่างๆ แล้วเราจะแยกตัวออกมา รู้ความลับเขา
กว่าเราจะแยกตัวออกมา กว่าจะแยกตัวออกมาทุกข์ระกำลำบากมาก เคยภาวนาดีขึ้นมา เคยทำสมาธิได้ เสื่อมหมดเลย ทุกข์แสนเข็ญ ทุกข์แสนเข็ญก็ระหกระเหินไปจนไปเจอท่านอาจารย์จวน ไปเจอท่านอาจารย์จวนที่ภูทอกไง
“กิเลสอย่างหยาบๆ ของท่าน คือว่าทำสมาธิของท่าน นี่กิเลสอย่างหยาบๆ ของท่านสงบตัวลง กิเลสอย่างกลางๆ ของท่านเต็มหัวใจของท่าน กิเลสอย่างละเอียดในหัวใจของท่านอีกมากมายเลย”
เออ! ว่ะ ไม่เห็นมีใครพูดอย่างนี้เลยเว้ย มีแต่พระจะพากูไปถูลู่ถูกัง แต่นี่“กิเลสในหัวใจของท่าน ในหัวใจของท่าน” เออ! กูไม่ไปไหนแล้ว กูอยู่นี่แหละ จนเครื่องบินตก พอมันเข็ดขยาด มันถึงได้เข้าบ้านตาดไง เพราะอะไร
เพราะเวลาภาวนาไปแล้วโดนกิเลสหลอกนี่ แหม! หัวปั่นหมดเลย แล้วไม่มีที่พึ่งที่อาศัยทั้งสิ้น พอเข้าบ้านตาดไปก็ โอ้โฮ! ทีนี้ไม้หน้าสามเลย ฟาดเอาๆ อยากเจออาจารย์ที่ดีใช่ไหม มันต้องอย่างนี้ๆ ยิ่งตียิ่งเข้าใกล้ ยิ่งตียิ่งไม่หนี เพราะยิ่งตีมันยิ่งดีงาม นี่ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงไง
ฉะนั้น เวลาข้อเท็จจริงอย่างนี้ เราเคยประสบการณ์อย่างนี้มาก่อน เวลาบอกว่า เราเคยทุกข์เคยยากมาก่อน เราบวชมาเป็นพระนวกะ เห็นไม่ใส่รองเท้า เห็นห่มผ้าสีเข้มๆ เห็นถือเคร่ง นึกว่าพระดี โอ้โฮ! มันพากูไประหกระเหิน ทุกข์เกือบตาย
กว่าจะมาเจอครูบาอาจารย์ที่ดีงามนะ ท่านสอนเข้ามาที่ใจของเรา กิริยาในใจของเรา ความปกติสุขในใจของเรา แต่ความปกติในใจของเรามันก็อาศัยร่างกายนี้ ความเป็นอยู่ของมนุษย์นี่แหละ แต่มีศรัทธาความเชื่อไง แล้วพยายามรักษาใจของตัวให้มันสงบระงับเข้ามาให้ได้ ถ้าใจสงบระงับเข้ามาได้ ครูบาอาจารย์ที่ดีงามท่านจะให้อุบายยกขึ้นสู่วิปัสสนา
พระกรรมฐานทั้งหมดทำสมาธิไม่เป็น ว่างๆ ว่างๆ ใครบอกว่างๆ แสดงว่าเขาไม่มีเหตุมีผล
แต่ถ้าเขาเป็นสมาธินะ จิตสงบนะ มีสตินะ โอ้โฮ! มันมีความสุขของมันน่ะ เวลามันคลายออกมามันเสื่อมอย่างนี้ มันต้องมีเหตุมีผล มีที่มาที่ไป สมาธิก็ต้องบอกว่าสมาธิเป็นอย่างไร
หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกเลย สมาธิๆ อย่ามาหลอกเรานะ เราติดสมาธิอยู่ ๕ ปี สมาธินี่คล่องแคล่วมาก เราติดสมาธิอยู่ ๕ ปีเพราะคิดว่าสมาธิเป็นนิพพาน หลวงปู่มั่นกระชากออกมาขนาดไหนถึงมาตั้งต้นของท่านขึ้นมาใหม่
ถ้าไม่มีสมาธิเป็นบาทเป็นฐาน มันจะไม่มีภาวนามยปัญญา มันไม่มีโลกุตตรธรรม โลกุตตรธรรมมันจะเกิดบนสัมมาสมาธิ
แต่เวลาปัญญา ปัญญามันเกิดขึ้น มันเกิดจากว่างๆ ว่างๆ มันเกิดจากพญามาร มันเกิดจากมิจฉาทิฏฐิ มันเกิดจากความเห็นผิด มันเกิดจากกิเลสแสดงธรรมให้จิตดวงนั้นฟัง แล้วจิตไม่มีกำลังก็เชื่อมัน
เหมือนเราตอนบวชเป็นนวกะเห็นเขาไม่ใส่รองเท้านะ เห็นเขาถือเข้มๆ ไปกับเขาเลยนะ นี่มารในใจมันหลอก เพราะความไม่รู้ของเรา แล้วเราก็เชื่อประสบการณ์ที่อ่อนด้อยของเรา แล้วก็ระหกระเหินไปกับเขา มันไม่ใช่ได้สติหรอก มันทุกข์ มันโดนหลอกจนหมดเนื้อหมดตัว ล้มละลายมันทุกข์
พอทุกข์ก็ธุดงค์ไปเรื่อยๆ จนไปพบท่านอาจารย์จวน ท่านย้อนกลับมาที่ใจของตน ทำที่อาจารย์จวนจนมีมาตรฐาน เครื่องบินตก ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องชอบธรรม โดนหลอกอีกแน่ๆ เข้าบ้านตาดอย่างเดียว
ฉะนั้น เราถึงบอกว่า เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราภูมิใจในบุญกุศลที่ได้พบครูบาอาจารย์ที่ดีงาม แต่ก่อนที่จะพบครูบาอาจารย์ที่ดีงาม เราก็ทุกข์เจียนตายมาเหมือนกันเพราะเรามีกิเลส กิเลสมันไม่ฟังใคร กิเลสมันไม่ยอมรับใคร กิเลสทิฏฐิมานะมันสุดขอบฟ้า มันว่ามันยิ่งใหญ่ เห็นเขาไม่ใส่รองเท้าก็เชื่อเขาแล้ว มันยังชมว่ามันเก่งอีกนะ เห็นพระไม่ใส่รองเท้าก็ไม่ใส่รองเท้าไปกับเขา เราเคยเป็นมา แล้วไร้สาระทั้งสิ้น
ที่ยกนี้ให้ฟังว่า เราก็เคยได้ผิดพลาดมา หลงมาเหมือนกัน ผิดพลาดมาก่อน ทีนี้พอผิดพลาดมาก่อนแล้วจะเข้าสู่ความถูกต้องชอบธรรม มันก็ต้องว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ ต้องพยายามดัดแปลงความคิดของตนให้ถูกต้องชอบธรรม แล้วเทียบเคียงพระไตรปิฎก ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นี่พูดถึงคำถามนะ คำถามพรรณนามาเลย “ผมอยู่ศูนย์บำบัดยาเสพติด แล้วผมก็อยากจะปฏิบัติธรรม แล้วผมอยากปฏิบัติธรรมมันก็เกิดผลกระทบ”
เพราะหน้าที่ อาชีพ นี่ไง เราอ่านพระไตรปิฎกมา ทางของฆราวาสเป็นทางคับแคบ คับแคบเพราะไม่มีเวลา คับแคบเพราะมีหน้าที่การงาน ต้องมีอาชีพเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
ถ้ามาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส กินบุญของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสก อุบาสิกาเขาอยากได้บุญได้กุศล เขาจะใส่บาตรของเขาเพื่อสร้างบุญสร้างกุศลของเขาในเนื้อนาบุญในพระพุทธศาสนา
เรามาบวชเป็นพระๆ ไง เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เช้าเราก็ออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพ ปัจจัย ๔ ไง ฉะนั้น เวลาของสมณะถึงกว้างขวาง ๒๔ ชั่วโมง
อาชีพการงานในการแสวงหาปัจจัย ๔ ฝากไว้กับชาวพุทธ แล้วเวลา ๒๔ ชั่วโมงภาวนาตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง นี้ทางของสมณะเป็นทางกว้างขวาง กว้างขวางเพราะมีเวลาประพฤติปฏิบัติ ๒๔ ชั่วโมง แต่ทางฆราวาสเป็นทางคับแคบ คับแคบเพราะต้องมีหน้าที่การงาน ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ต้องรับผิดชอบ เหลือเวลาแล้วค่อยปฏิบัติไง
นี่ย้อนกลับมาผู้ถาม หน้าที่การงานของเราไง มีงานทำดีกว่าคนตกงาน คนไม่มีงานทำจะเลี้ยงชีพได้อย่างไร คนจะเลี้ยงชีพได้ต้องมีหน้าที่ มีฐานะ มีหน้าที่การงาน ตำแหน่งหน้าที่ ถ้ามีหน้าที่ เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้องชอบธรรม ถ้าถูกต้องชอบธรรมนะ
“ผมอยู่ศูนย์บำบัดยาเสพติด มันเป็นที่วุ่นวายมาก”
เวลาบำบัดยาเสพติด คนหลอนยา คนติดยา โอ้โฮ! ดูสิ มันทำลายสังคม ทำลายครอบครัว ทำลายเขามาทั้งนั้น แล้วมาให้เราบำบัด มาให้เราดูแลไง พ่อแม่เขาจะบอกไม่เอาๆ พ่อแม่เขาโยนทิ้งหมดเลย พ่อแม่บอกเอาไปเถอะ เอาไปจัดการที พ่อแม่ไหนก็เอาไปจัดการที พ่อแม่มันยังทำร้าย
นี้เราไปอยู่ตรงนี้ไง เราไปอยู่ที่ว่า “ผมอยู่ศูนย์บำบัดยาเสพติด ทั้งวันจะมีเสียงคนพูดคุย เสียงเพลงบ้าง ผมอยากภาวนา บางทีก็อ่านหนังสือธรรมะ บางทีนึกถึงพุทโธ บางทีไม่พอใจ บางคนก็อดทนเอา”
เห็นไหม ถ้ามีสติสัมปชัญญะมันจะเป็นแบบนี้ เวลาขาดสติไง อารมณ์ชั่ววูบไง เราต้องฝึกหัดของเราไว้
เราจะบอกว่า เราต้องทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ก็ทำหน้าที่ มันก็เป็นความสมบูรณ์ของความเป็นมนุษย์ แล้วเรามีเวลาของเรา เราก็จะฝึกหัดปฏิบัติ อยู่ในที่หน้าที่การงานเราก็ทำของเราได้
หลวงปู่ฝั้นท่านพูดไว้ เวลาท่านมาเทศน์ในกรุงเทพฯ ไง เวลานั่งรถ อย่าหายใจทิ้งเปล่าๆ เวลานั่งรถเมล์ไปทำงานหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ
นี่ก็เหมือนกัน หน้าที่การงานของเรา ถ้าเรามีเวลาเราก็หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เพราะเราต้องหายใจอยู่แล้ว ถ้าหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ สติสัมปชัญญะจะสมบูรณ์ ถ้าไม่สมบูรณ์ มันก็หายใจแต่มันไม่พุทโธ มันเอาออกซิเจน แต่ถ้าเรามีสติ เรากำหนดพุทโธมันถึงเป็นพุทธานุสติ อานาปานสติ นี่มันเป็นประโยชน์กับเรา
ฉะนั้นบอกว่า เวลาถึงเวลาแล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แต่เวลามันมีสิ่งใดกระทบกระเทือนแล้วมันจะโกรธมาก
โกรธนี่มันเป็นเรื่องธรรมดา คนเรานะ เวลาทำความผิดมันพยายามจะปกปิดไว้ เวลาทำคุณงามความดีมันอยากจะประกาศโฆษณา
นี่เหมือนกัน เวลาปกติมันไม่ทำอะไรเลยมันก็ไม่เห็นโทษไง แต่เวลาเราจะมาพุทโธ เวลาจะกำหนดลมหายใจ เวลาใครมากระทบกระเทือนนี่โกรธมาก โกรธตรงที่ว่า “เราทำดีแล้วทำไมไม่มีใครส่งเสริมเราเลย เราทำความดีแล้วทำไมเรามีอุปสรรคมากมายเลย” ทุกคนจะเป็นแบบนี้ จะเป็นแบบนี้เพราะอะไร
เพราะธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของความคิด ถ้าไม่ทำอะไรเลยมันก็ไม่เป็นอะไรเลยเหมือนกัน แต่จะทำอะไรขึ้นมาบ้างมันก็จะเอาแต่ความดีความชอบไง
ฉะนั้น เวลาในวงกรรมฐานเขาบอกว่า ผ้าขี้ริ้ว เวลาเช็ดเท้ามันก็คือผ้าขี้ริ้ว ผ้าขาวเราไปเช็ดเท้ามันจะเห็น โอ้โฮ! สกปรกมาก
จิตใจของคน หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หรือเจตนาทำคุณงามความดี มันจะทำผ้าขี้ริ้วให้เป็นผ้าขาว ทีนี้พอผ้าขาวมันสกปรก มันก็สะเทือนใจ
แต่ถ้าโดยไม่ภาวนานะ มันเป็นผ้าขี้ริ้วด้วยกัน ผมอยู่ศูนย์บำบัด เสียงเขาดัง เราก็จะเสียงดังไปกับเขา เสียงเขาดังเราก็จะข่มเขาให้อยู่ในอำนาจของเรา ผ้าขี้ริ้วด้วยกันไง แต่พอเป็นผ้าขาว เพราะมันเสียงสกปรก เสียงอะไรมันกระเทือน มันสะเทือน นี่เป็นข้อเท็จจริง
ฉะนั้น เราจะฝึกหัด เรามีสติสัมปชัญญะนี่ถูกต้อง เราต้องฝึกหัดของเราเข้าไปว่า ขณะปัจจุบันนี้เราเป็นเจ้าหน้าที่ เราดูแลเขา เราเป็นผู้บำบัดเขา แล้วผู้บำบัดเขาก็มีกรรมของสัตว์ อารมณ์คนก็รุนแรง บางคนก็หลงใหล บางคนก็นั่งไม่เป็นสุข มันมีปฏิกิริยาร้อยแปด
เพราะ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา จริตนิสัยของคน ความทุกข์ยากของคน ความหนักแน่นความหนักเบาของประสบการณ์ หรือว่าความหนักเบาของความเจ็บไข้ได้ป่วย มันร้อยแปดเลยล่ะ เราต้องตั้งสติตลอดแล้วฝึกหัดตลอด อย่างนี้มันก็เป็นการฝึกหัดใจของเราขึ้นมา
เขาบอกว่า “บางทีผมโมโห ใช้เวลานานพอสมควรมันถึงจะหยุดได้ ผมอยากทราบวิธีการปัญญาอบรมสมาธิ”
ปัญญาอบรมสมาธิคือใช้ปัญญา สัทธาจริต หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ จะท่องพุทโธๆๆ มีสัทธาจริต พุทธจริต ผู้ที่มีสติปัญญา พุทโธเอาได้ยาก ถ้าพุทโธเอาได้ยากปั๊บ เราจะใช้ปัญญาของเรา ปัญญาตรึกตรองในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ธรรมชาติของความคิดเรามันก็คิดตลอดเวลา แล้วคิดโดยจริตนิสัยของคนไง ถึงต้องให้มันเป็นธรรมชาติ
แล้วถ้าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ คือว่าเราเป็นชาวพุทธ เรานับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรามีรัตนตรัย เราจะใช้สติปัญญาให้เท่าทัน ให้เท่าทันความคิดไง เท่าทันความคิด
ความคิดธรรมชาติมันก็คิดของมันอยู่แล้ว เรามีสติไปกับความคิดอันนี้ ถ้าความคิดอันนี้มันคิดย้ำคิดย้ำทำ ประสบการณ์ในหน้าที่การงาน ประสบการณ์ เราเคยเจอเหตุการณ์ที่รุนแรงกว่านี้ เราเคยเจอเหตุการณ์ที่เราควบคุมได้ เราเจอเหตุการณ์อะไร เห็นไหม เรามีประสบการณ์
ฉะนั้น เราใช้สติปัญญาเท่าทันความคิดของตนๆ ถ้าเท่าทันความคิดของตนมันจะหยุด นี่คือปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิคือมันหยุดคิด
เวลาคิดมันคิดโดยกิเลส คิดโดยพญามาร คิดโดยธรรมชาติ คิดโดยสัญชาตญาณ สติมันเท่าทันความคิดๆ ทีแรกมันไม่เท่าทันหรอก มันคิดของมันไปเรื่อย แต่มีสติเท่าทันความคิดไป เท่าทันความคิดไป ฝึกหัดบ่อยๆ ถ้าสติมันทันมันหยุด ถ้าหยุดเดี๋ยวก็คิดอีก ถ้าคิดอีกเราก็ใช้ปัญญาอีก เพราะถ้ามันชำนาญขึ้น ระยะของความหยุด ระยะของความทันความคิดมันจะเร็วขึ้นๆ
เริ่มต้นมันจะน่าเบื่อหน่าย คิดก็ไม่ทัน คิดแล้วมันก็ลากไป คิดแล้วก็ยังทุกข์ แต่ก็ทำไง เหมือนออกกำลังกาย ออกกำลังกายก็ออกทุกวัน เดี๋ยวร่างกายก็แข็งแรง ฝึกหัดปฏิบัติทำบ่อยๆ ครั้ง เดี๋ยวสติปัญญามันก็เท่าทัน ทุกอย่างอยู่ที่การฝึกหัด พระปฏิบัติไง พระปฏิบัติคือพระฝึกหัดปฏิบัติธรรม
การฝึกหัดปฏิบัติธรรมจะไปเอาที่ไหน เอาตำราหรือ เอาครูบาอาจารย์ที่คอยเป่ากระหม่อมหรือ เอาคนอื่นคอยส่งเสริมหรือ...ไม่ใช่
ฝึกหัดสติ ฝึกหัดตัวเอง ฝึกหัดตัวเองขึ้นมา ตัวเองทุกข์เจียนตาย ฝึกหัดเท่าทันแล้ว เฮ้อ! สบายใจ เฮ้อ! หยุดคิดได้ ใครได้? คนได้นะ นี้คือปัญญาอบรมสมาธิ
เพราะโดยความเชื่อในพระพุทธศาสนา สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ ไม่มีสมาธิ ไม่มีสมถกรรมฐาน จะยกขึ้นสู่วิปัสสนากันได้อย่างไร สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีสมาธิมันมารล้วนๆ มารล้านเปอร์เซ็นต์
แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ เออ! มารครึ่งหนึ่ง ตัวตนเราครึ่งหนึ่ง ยังมีโอกาส ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาเป็น แต่ส่วนใหญ่แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่เป็น แล้วเออออห่อหมกด้วยอำนาจวาสนาของคนที่อ่อนด้อย
แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเราฝึกหัดของเราขึ้นมาๆ ปัญญาอบรมสมาธิคือมีสติเท่าทันความคิดของตน เท่าทันความคิดของตนนะ
ความคิดมันเป็นนามธรรม ถ้าสติก็เป็นนามธรรมที่เราฝึกหัดขึ้นมา ถ้าสติมันแก่กล้าขึ้นมา มันเท่าทันขึ้นมานะ มันหยุดคิด เรารู้เอง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ห้ามเชื่อ ให้เป็นความจริงในหัวใจของตน
ทุกข์เจียนตาย เวลามันสุขล่ะ ใครบอก
พระพุทธเจ้าบอก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์บอก บอกที่กลางหัวใจของตน นี่ไง ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ฝึกหัดปฏิบัติแบบนี้
ส่วนหน้าที่การงานของตน เราเห็นด้วยนะ เราเห็นด้วยว่าเรามีหน้าที่การงาน มีงานทำดีกว่าคนไม่มีงานทำ ถ้ามีงานทำแล้วรักษางานของตนไว้ให้ดีงาม แล้วเราทำขึ้นมา ทำเพื่อตัวเราด้วย ทำเพื่อผู้บำบัดด้วย ทำเพื่อตนเองด้วย ทำเพื่อผู้บำบัดด้วย มันจะเป็นประโยชน์กับบุคคลคนนั้น
นี่ฝึกหัดปฏิบัติธรรมเพราะเป็นคนดีไง คนดีในพระพุทธศาสนา เราจะเป็นคนดี เราจะหาพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในหัวใจของตนขึ้นมา เราทำดีเพื่อตนเองของเราขึ้นมา นี่เป็นผลประโยชน์ เห็นไหม
พระพุทธศาสนาไง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเท่านั้นที่จะทำตนให้ฉลาด ตนเท่านั้นที่จะทำความสงบระงับเข้ามาในใจของตน และตนเท่านั้นที่จะปฏิบัติให้พ้นจากทุกข์ด้วยใจของตน นี่คำตอบข้อที่ ๑.
“๒. อยากทราบว่าช่วงเวลาที่มีพระพุทธศาสนาจะสามารถมีพระจักรพรรดิได้หรือเปล่าครับ”
เราว่าได้ เพราะการทำคุณงามความดีได้อยู่ตลอดเวลา แต่ความเป็นพระจักรพรรดิในสมัยพุทธกาลมันเหมือนกับว่า สมัยพุทธกาล ผู้ที่ฤๅษีชีไพรเขามีฤทธิ์มีเดช เพราะมันไม่มีวิทยาศาสตร์ไง มันไม่มีแสงเลเซอร์ฉายแสงขึ้นไป เหาะเหินเดินฟ้ามันเป็น
เดี๋ยวนี้นะ เหาะก็ซื้อตั๋วเครื่องบินสิ อยากทายใจคนก็โทรศัพท์ กดไลน์เลยล่ะ มันเลยมีคนโกหกมดเท็จเต็มไปหมด ความจริงมันเลยจับต้องไม่ได้ เพราะวิทยาศาสตร์มันเจริญไง วิทยาศาสตร์มันรู้เท่าทันกัน แต่ถ้าเป็นสมัยพุทธกาลมันไม่มี ฉะนั้น สมัยพุทธกาลจักรพรรดิมันถึงเด่น
แต่ในสมัยปัจจุบันนี้ในประเทศไทยเรามันครบ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มันเลยสมบูรณ์แบบในกึ่งพุทธกาลนี้
มีครูบาอาจารย์ท่านพูดว่า ต่อไปถ้าไม่มีมหากษัตริย์ มันก็จะไม่มีพระอรหันต์ เขาพูดกันอย่างนี้เลยนะ เพราะชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะพระมหากษัตริย์ที่เป็นพุทธมามกะเขาคุ้มครองดูแลให้คนฝึกหัด คุ้มครองดูแลพระปฏิบัติให้ได้ปฏิบัติ แล้วถ้าปฏิบัติตามความเป็นจริงไง
แต่ถ้าเราไปทางยุโรปสิ บิณฑบาตก็ไม่ได้นะ เขาห้าม เพราะว่าเขาห้ามมีขอทาน เขาไม่ได้บอกว่าโปรดสัตว์ เขาว่าเป็นขอทาน กฎหมายห้ามมีขอทาน แต่ประเทศไทย เพราะเป็นประเทศพระพุทธศาสนา กฎหมายถึงเขียนยกเว้นไว้กับเรื่องธรรมวินัย เปิดโอกาสให้มีผู้ที่ปฏิบัติ
ฉะนั้น “ในช่วงเวลาที่มีพระพุทธศาสนาจะมีพระจักรพรรดิหรือเปล่าครับ”
เราว่ามีได้ แต่ด้วยความเจริญของโลกเรามองไม่เห็นไง ถ้าเมื่อก่อน ขุนคลังแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนนางแก้ว สำหรับจักรพรรดิ จักรมันเคลื่อน แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นจักรพรรดิมาหลายรอบ แล้วสุดท้ายมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ฉะนั้น อันนี้มันเป็นเรื่องของสังคม สิ่งที่ว่ามันจะมีได้หรือไม่ เราว่าได้ แต่ลัทธิการปกครองมันเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ระบบกษัตริย์มันจะน้อยลงๆ เพราะถือว่าสิทธิเสรีภาพ มันก็ยุคสมัย กึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง แล้วต่อไปก็เรียวแหลมแล้ว เพราะคนเท่ากับคน คนจะกินคนด้วยกัน แต่พระพุทธศาสนาไม่ใช่
เวรกรรมของสัตว์ จบ
ถาม : เรื่อง “การอดนอนผ่อนอาหาร”
กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ผมขับรถแท็กซี่ภาวนาอยู่เรื่อยๆ ครับ ช่วงหลังรู้สึกตัวเองขี้เกียจและทานเยอะครับ เลยลองอดนอนผ่อนอาหาร รู้สึกตัวเบาขึ้น ร่างกายและสติโปร่งโล่งขึ้นบ้าง ผมกังวลนิดหนึ่งตรงที่ว่ามันจะเหมาะไหมถ้าผมอดนอนเวลางาน ผมพยายามสังเกตดูตลอดไม่ให้กระทบคนอื่นครับ ถ้าทำงานอยู่แล้วง่วง ผมก็จะจอดล้างหน้า แล้วก็รู้สึกว่าดีขึ้นมาก
ทางฝั่งวิทยาศาสตร์บอกให้นอนให้พอ แต่ผมฟังครูบาอาจารย์เทศน์ว่า ให้กินน้อย นอนน้อย กราบเรียนถามขอแนวทางในการปฏิบัติต่อจากหลวงพ่อว่า ผมเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ ได้ไหมครับ กราบขอบพระคุณ
ตอบ : อันนี้อาชีพของเราเนาะ เราต้องขับรถ การขับรถ ถ้าขับรถของเราเป็นเรื่องส่วนตัวก็เรื่องหนึ่ง แต่นี่บริการสาธารณะ ผู้โดยสารต้องปลอดภัย เราเองก็ต้องปลอดภัย การปลอดภัย ทางสายกลาง เราดูความเหมาะสมไง ถ้าดูความเหมาะสม
แต่เขาบอกว่าเขาขับแท็กซี่ แล้วช่วงหลังรู้สึกขี้เกียจขึ้นและทานเยอะก็เห็นผลว่าเป็นโทษ
กินอิ่มนอนอุ่นมันก็เป็นสุกร วิชากอนแล้วนิน กินแล้วนอน หลวงตาท่านแซวทุกวันน่ะ ท่านเตือนเผดียงพระไว้ตลอด กินแล้วก็นอน กอนแล้วก็นิน วิชากินแล้วก็นอน กอนแล้วก็นินไง มันเป็นประโยชน์อะไร
อดนอนผ่อนอาหาร อดนอนผ่อนอาหารเพราะอะไร เพราะผ่อนอาหาร ผ่อนแล้ว ทางวิทยาศาสตร์โรคอ้วน โรคอ้วนเพราะกินมากเกินไป ถ้าเราทานอาหารพอสมควร แล้วถ้ามันมีปัญหาขึ้นมา เราผ่อนให้น้อยลงๆ ยิ่งน้อยลงร่างกายยิ่งแข็งแรง เพราะอะไร เพราะอาหารจะสำคัญตอนเยาว์วัยเท่านั้น พออายุ ๒๐ จบ จบแล้ว เพราะมันเจริญพันธุ์เต็มที่แล้ว ต่อไปนี้มันเพื่อดำรงชีพไว้เท่านั้น
แล้วถ้าเราผ่อนอาหารของเรา เวลาผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัตินะ เวลานั่งสมาธิๆ นิวรณธรรม ๕ ง่วงเหงาหาวนอน ลังเลสงสัย วิจิกิจฉา แล้วเวลาธาตุขันธ์ทับจิต กินอิ่มนอนอุ่นนะ ยิ่งกินมากยิ่งจินตนาการมาก ยิ่งคิดมาก ยิ่งทุกข์มาก
ถ้าอดนอนผ่อนอาหาร เวลาคนถ้ามันเร่งความเพียรๆ อดให้มากขึ้นๆ เรานี่นักอดอาหารเลยล่ะ เราอดที ๒ ปี ๓ ปี ควงมาตลอด แล้วอดต่อเนื่อง ถ้าคนไม่เป็นนะ มันจะอดเป็นช่วงๆ อดเป็นช่วงๆ มันก็เจริญแล้วเสื่อมๆ
เราอยู่กับหลวงตา โธ่! หลวงตาเป็นพระอะไร แล้วเราอยู่กับท่าน เราทำอะไรทำไมท่านจะไม่รู้ ท่านรู้ท่านเห็นหมดน่ะ เราอดอาหารต่อเนื่องๆ เพื่อให้จิตมันทรงตัว
เพราะเวลาท่านพูดนะ เวลาอดอาหาร โอ้โฮ! ไม่ฉันมันก็จะตาย เวลาพอไปฉันกลับมามันเหมือนม้าแข่งเลยนะ ท่านบอกเลย ฟื้นฟูร่างกายง่ายนิดเดียว แค่ทานอาหารก็จบ แต่จิตใจ ถ้าทานอาหารมากๆ ท่านบอกเหมือนเรือเกลือ ภาวนาก็ยากแสนเข็ญ เวลามันผ่อนอาหาร จากเรือเกลือมันก็เรือไม่บรรทุก มันก็เบา มันก็ไปไกล
ธาตุขันธ์ทับจิตๆ คนภาวนาจะรู้ ธาตุขันธ์ทับจิต พอธาตุขันธ์มันกอนแล้วนิน กินแล้วนอน โอ้โฮ! มันอุดมสมบูรณ์ ไขมันเต็มที่ มันคิดเรื่องอะไร เรื่องโลกๆ มันไม่สำรวมเรื่องกามหรอก มันไม่พ้น
แล้วถ้าเราป้องกันภัยตั้งแต่ต้นมันถูกต้องชอบธรรม แล้วท่านภาวนาได้ มันภาวนาได้ ถ้าจิตมันสงบแล้วมหัศจรรย์ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วอดนอนผ่อนอาหารมันได้คุณค่ามาขนาดนั้น นี่พูดถึงผลของการภาวนานะ
แต่ผู้ถามบอกว่า “หลวงพ่อ ผมขับแท็กซี่ ผมไม่ใช่นักรบแบบหลวงพ่อ”
ขับแท็กซี่มันก็มนุษย์เหมือนกัน คนมันก็มีกายกับใจเหมือนกัน แล้วมันก็มีกิเลสเหมือนกัน แล้วคนที่ปรารถนาอยากจะทำคุณงามความดี อยากจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ขับแท็กซี่มันก็ภาวนาได้
แล้วถ้าภาวนาได้ มันเพียงแต่ว่าเราขับรถแท็กซี่มันเป็นบริการสาธารณะ ฉะนั้น มันต้องตั้งสติแล้วให้สมดุล อย่าว่าจะอดแบบพระ แล้วถึงเวลาแล้วถ้ามันเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมามันเสียหาย
ถ้าไม่เสียหาย เพราะหนึ่ง อดนอนผ่อนอาหารร่างกายแข็งแรง สุขภาพจิตดี ขับรถบริการที่ดีงาม เพราะอะไร เพราะคนคิดดี ใฝ่ดี ทำดี คนที่จิตใจดีงามเป็นบุญกุศลมันทำแล้วเป็นความดี นี่ถ้าความดี
แต่เขาบอกว่าเขาจะเพิ่มขึ้นได้ไหม
เราบอกว่า ถ้าจะเพิ่มขึ้นมันก็อยู่ที่ความพอดีของตนไง ถ้ามันเป็นความพอดีของตน เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเป็นคนชาวพุทธแล้วจะไปฝึกหัดปฏิบัติ เราผ่อนอาหาร เราอดนอน
อดนอนเราไม่ต้องให้มันเคร่งเครียดหรือว่าเพิ่มเติมให้มันมากจนเกินไป เพราะโดยธรรมชาติเขาบอกว่าทางฝั่งวิทยาศาสตร์เขาบอกต้องนอนให้เพียงพอ การนอนให้เพียงพอเขาทำวิจัยทำสถิติว่ามนุษย์ ร่างกายต้องการพักผ่อนแบบนี้ แล้วถ้าพักผ่อนแบบนี้มันจะสดชื่นแบบนี้
ในทางวิชาการนะ มันมีการขัดแย้งกัน ในทางเมื่อก่อน ในการล่าอาณานิคม ถ้าเป็นฝั่งทางของฝรั่งเศส ดูสิ ฝรั่งเศสจะไปยึดครองที่ไหนก็แล้วแต่ ที่นั่นจะนอนกลางวัน แต่ถ้าทางฝ่ายของอังกฤษเขาไม่มีนอนกลางวัน
แล้วอาณานิคมเขาล่าไปเรื่อยๆ หลายชาติในเวียดนาม ในประเทศที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสเขาจะมี กลางวันจะมีเวลาหยุดนอนกลางวัน ในลาว ในเขมร ในเวียดนาม เขาจะมีหยุดกลางวันต้องนอนนะ แล้วเขานอนกันจนเป็น...
แล้วเขาบอกว่า การนอนนี้ถ้านอนแล้วการทำงานจะได้ผลงานมากกว่าคนที่ไม่ได้นอน ไอ้คนที่ทางวิชาการบอกว่า คนที่ไม่ได้นอนเขาทำงานทั้งวันเขาต้องทำงานได้มากกว่า ทางนี้มากกว่าบอกว่า ไอ้ที่มากกว่าแต่ทำไปแล้วโดยที่ร่างกายมันไม่แข็งแรง ไม่ได้พักผ่อน เวลาผลงานแล้วสู้ฝ่ายที่นอนกลางวันไม่ได้ นี้ก็วิชาการ
วิชาการเขาเถียงกันยังไม่จบนะ เดี๋ยวๆ ก็ถกกันรอบหนึ่ง เดี๋ยวๆ ก็ถกกันรอบหนึ่ง ตกลงกันไม่ได้ว่านอนกลางวันกับไม่นอนกลางวันอะไรดีกว่ากัน นี่ก็วิชาการ
แต่ของเรานะ มันเป็นจริตนิสัย เป็นอำนาจวาสนา มันเป็นประโยชน์กับเราหรือไม่
ในทางวิทยาศาสตร์เขาบอกว่าต้องนอนให้เพียงพอๆ มันก็เป็นไปตามวัย นอนให้เพียงพอนะ เราอยู่กับครูบาอาจารย์มา โรคเศรษฐีคือโรคนอนไม่หลับ คนแก่ทั้งหมดต้องกินยานอนหลับ หลายๆ คนก่อนนอนต้อง ๑ เม็ด ๕ เม็ด ๑๐ เม็ด ที่ว่าต้องนอนให้เพียงพอๆ มันนอนไม่ได้ มันข่มตาให้หลับมันก็ไม่หลับ มันนอนเกือบตายมันก็ไม่หลับ ต้องใช้ยานอนหลับ นี่ทางวิทยาศาสตร์
ทางวิทยาศาสตร์เขาก็พูดทางวิทยาศาสตร์ ทางวิชาการ ทางวิจัยคือสถิติเก็บข้อมูล แต่เราก็ศึกษาเพราะมันเป็นประโยชน์ไง
“นี่งานวิจัยนะ ผ่านงานวิจัยมาแล้ว”
ครับ ผ่านแล้วก็ครับ แต่ผมทำแล้วไม่ได้ประโยชน์เลย
“นี่ผ่านงานวิจัยมาแล้วนะ วิจัยแล้วต้องเชื่ออย่างนี้”
แต่พระพุทธเจ้าพูดเอ็งไม่เชื่อเลยหรือวะ แล้วทำแล้วครูบาอาจารย์ที่ทำมาท่านได้ประโยชน์มาแล้วมากมายมหาศาล
ฉะนั้น สิ่งที่ว่าอดนอนผ่อนอาหาร อดนอนนี่นะ อดนอนผ่อนอาหาร เราจะบอกว่า ถ้ามันเป็นหลักการในพระพุทธศาสนานะ ศีล ๕ สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา ไม่ดื่มสุรา ไม่เสพยาเสพติด นี่มันก็อยู่ในศีล ๕ ทีนี้ถ้าอดนอนผ่อนอาหารมันก็อยู่ในธรรมไง เวลาอยู่ในศีลในศีล ธุดงค์ ๑๓ ฉันมื้อเดียว ฉันแต่น้อย มันอยู่ในศีลในศีล
ทีนี้เพียงแต่ว่า เวลาเราจะทำอะไรก็แล้วแต่มันก็บอกว่า ทางวิทยาศาสตร์บอกต้องนอนให้เพียงพอ แล้วถ้าผมอดนอนแล้ว
ถ้าเราอดนอน เราอดนอนพอประมาณ เราอดนอนเพื่อจะให้ขยันหมั่นเพียร เราไม่ใช่อดนอนมาเพื่อจะทำให้สุขภาพร่างกายเราผิดปกติ แล้วถ้ามันเจริญเติบโตขึ้นมาแล้ว นอนมากหรือนอนน้อย
คนที่เขามีหน้าที่การงานเขาทำของเขาจนเป็นความเคยชินของเขา วาระแห่งการนอนของเขาเพื่อประโยชน์กับอาชีพของเขา นี่เราก็เหมือนกัน ผ่อนอาหารมันเห็นประโยชน์กับร่างกายของเราแล้ว แล้วเวลาธาตุขันธ์ทับจิตมันไม่ทับจิต การภาวนาก็ดี การทำงานก็มั่นคง แล้วถ้าอดนอนๆ อดนอนในการพักผ่อน มันอยู่ที่ความพอดีของตน เราไม่ต้องเพิ่มให้ไปมากขึ้นกว่านี้
แต่เวลาพระปฏิบัติอดนอนผ่อนอาหารเขาจะอดนอนผ่อนอาหารฆ่ากิเลส กิเลสมันพาลทั้งนั้น มันจะเอาแต่ความพอใจของมันทั้งนั้น
แล้วคนที่ประพฤติปฏิบัติไม่มีอำนาจวาสนาก็ทำแบบไฟไหม้ฟางไง ทำเป็นวรรคเป็นตอน เวลามันขยันหมั่นเพียร เวลามันฮึดขึ้นมาก็ทำเต็มที่ เวลามันพ้นไปแล้วก็ละทิ้ง ไอ้ผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่อไปแล้วเป็นพระที่น่ารังเกียจมาก ไอ้ที่ว่าเข้มข้น ไอ้ที่ว่าทำแล้ว แหม! อยู่ในศีลนะ อยู่ในวิกฤติเลย...ทำเป็นสถิติใช่ไหม
มันเหมือนกับทางวิทยาศาสตร์เลย เอ็งทำวิจัยหรือ เอ็งไม่ฆ่ากิเลสเอ็งหรือ เวลาฆ่ากิเลสนะ มันจะไปเห็นกิเลส
ฉะนั้น อดนอนผ่อนอาหารมันเป็นวิธีการ มันเป็นเครื่องมือจะเข้าไปหากิเลส แล้วถึงเวลาถ้าเห็นกิเลสแล้วมันต้องเข้าสู่มรรค ๘ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ความชอบธรรมมันเป็นอีกชั้นหนึ่ง นั่นเป็นภาวนามยปัญญา
ฉะนั้น อดนอนผ่อนอาหารมันเป็นวิธีการ เป็นเครื่องมือ เป็นวิธีการจะเข้าไปทำตนให้เป็นคนดีงาม เป็นคนที่ดีงามขึ้นมา นี่ทางฆราวาส
ถ้าเป็นทางพระๆ เป็นวิธีการจะเข้าไปเผชิญหน้ากับกิเลส แต่เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมาอยู่ที่มรรคครับ อยู่ที่มรรค อยู่ที่มรรค ๘ งานชอบ ความชอบธรรมในการฝึกหัดปฏิบัติ ฉะนั้น ในความชอบธรรมในการฝึกหัดปฏิบัติ แล้วถ้าเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมา เห็นไหม
ฉะนั้น เวลาผู้ที่ปฏิบัติขึ้นมาให้ประพฤติปฏิบัติไปก่อน ประพฤติปฏิบัติไปเถิด ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเพื่อเป็นคนดี เป็นความดี เป็นคนดี เป็นความดีคือบุญกุศล ปฏิบัติเพื่อบุญเพื่อกุศล แต่ถ้าจะปฏิบัติแล้วบรรลุธรรมๆ นั้นมันเป็นอีกสเต็ปหนึ่ง อีกสเต็ปหนึ่งเพราะมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนต้องทำสัมมาสมาธิได้ สมาธิคือตัวตน คือตัวตนที่แท้จริง ฐีติจิต กิเลสอยู่ที่ฐีติจิต เวลาถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนามันจะเป็นภาวนามยปัญญา
ถ้าบรรลุธรรม มันเป็นอนาคตข้างหน้า มันไม่ใช่เป็นการประพฤติปฏิบัติธรรมให้เป็นบุญเป็นกุศล เป็นคนดีงาม เป็นอุบาสก เป็นคนดีในพระพุทธศาสนา
เราเกิดเป็นมนุษย์ไง พระพุทธศาสนานี้ หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกว่าเหมือนห้างสรรพสินค้า มีทุกอย่าง มีทุกชนิด มีมหัศจรรย์มากมาย แล้วแต่บุคคลคนใดเข้าไปพึ่งพาอาศัย เข้าไปแสวงหาได้ทรัพย์สินมากน้อยขนาดไหน
แต่ถ้าจะฝึกหัดปฏิบัติให้บรรลุธรรมๆ บรรลุธรรมตรงไหน บรรลุธรรมอย่างไร วิธีการทำอย่างไรบรรลุธรรมน่ะ แล้วบรรลุธรรมอนาคตข้างหน้านั้นถึงอนาคตข้างหน้า ฉะนั้น ให้ฝึกหัดปฏิบัติให้เป็นบุญกุศลกับตนเอง
เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ร่มโพธิ์ร่มไทร พระพุทธศาสนาให้ชีวิตเราร่มเย็นเป็นสุข ให้เรามีคุณสมบัติที่ดีงาม แล้วถ้าจะฝึกหัดปฏิบัติธรรมอนาคตกาลข้างหน้า อย่าเชื่อ
ที่ไหนมีศรัทธา ที่นั่นมีเหยื่อ
ที่ไหนมีเหยื่อ ที่นั่นมีนักล่า
ไอ้พวกนักล่า ล่าแต่โลกธรรม ๘ ลาภสักการะ ชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ ล่าเขาทั้งนั้น ล่าแล้วโกหกมดเท็จเสียด้วย เอวัง